Skip to main content

หน้าหลัก

เงาสะท้อนอีกด้านของแรงงานต่างชาติ

เงาสะท้อนอีกด้านของแรงงานต่างชาติ

              ชีวิตในวัยเด็กของผมนั้นถือว่าลำบากมาก พ่อกับแม่อาชีพทำนา ผมต้องช่วยพ่อแม่ทำงานทุกอย่างการศึกษาก็ไม่ได้เรียนสูงๆอย่างคนอื่นเขา เพราะพ่อแม่ไม่มีเงินส่งเรียน พอโตขึ้นผมก็เข้าทำงานที่กรุงเทพ แต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมีกินมีใช้ไปวันๆก็เท่านั้น มีครั้งหนึ่งผมกลับมาเยี่ยมพ่อแม่ที่บ้านเห็นเพื่อนบ้านที่มีเงินสร้างบ้านใหม่ ผมก็ไปถามเขาว่าไปทำงานที่ไหนมาถึงได้มีเงินมากขนาดนี้ เขาบอกว่าไปทำงานที่ต่างประเทศมา ผมกลับไปนั่งคิดนอนคิดปรึกษาพ่อแม่จนในที่สุดก็ตัดสินใจมาทำงานต่างประเทศและนั่นก็คือไต้หวันนั่นเอง ผมคิดฝันเห็นความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น พ่อแม่ต้องสบายขึ้นไม่ต้องลำบากเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว แต่กว่าจะมาไต้หวันได้ก็ลำบากน่าดู เพราะว่าค่าหัวแพงมาก พ่อแม่ต้องกู้หนี้ยืมสินและต้องนำโฉนดที่ดินไปค้ำประกันอีกด้วยและในที่สุดผมก็ได้บินมาไต้หวันตามความต้องการ

            ไต้หวันเป็นประเทศเสรี เศรษฐกิจดี เทคโนโลยีก้าวหน้า สภาพแวดล้อมธรรมชาติก็ยังงดงามสมบูรณ์อยู่มาก ผมตื่นเต้นกับสิ่งใหม่ๆที่ได้พบเห็นตื่นตาตื่นใจอย่างไรบอกไม่ถูก

           ผมเข้าทำงานที่โรงงานชุบเหล็ก แถวเขตหยังเหม่ได้เจอเพื่อนคนไทยหลายคนที่มาทำงานอยู่ก่อนผมดีใจมากอย่างน้อยก็จะได้มีเพื่อนไว้คุยแก้เหงาเวลาคิดถึงบ้าน คืนแรกผมนอนไม่หลับขนาดเหนื่อยมาทั้งวันจะเป็นเพราะแปลกสถานที่หรือคิดถึงบ้านหรือเปล่าก็ไม่รู้ การทำงานวันแรกก็แย่อยู่เหมือนกันเพราะยังไม่รู้อะไรเป็นอะไรแต่โชคดีที่ได้เพื่อนคนไทยช่วยแนะนำ ถ้าจะไห้คนไต้หวันสอนคงจะเป็นยาก เพราะยังไม่ได้ภาษาเลยแต่นายจ้างก็ดีกับคนต่างชาติมาก ผมทำงานไปเรื่อยๆก็เป็นงานขึ้น สบายขึ้น แต่สิ่งที่ไม่ดีขึ้นเลยคือความคิดถึงบ้าน ผมตั้งใจเก็บเงินส่งบ้านทุกเดือนและได้โทรคุยกับพ่อแม่บ้าง ผมทนอยู่กับการทำงานที่เหนื่อยทนกับการคิดถึงบ้านก็เพื่อพ่อแม่ ผมอยากให้ท่านสบายขึ้นผมมีความตั้งใจจะเก็บเงินสักก้อนจะกลับไปสร้างบ้านให้พ่อแม่ ผมทำงานทำทำทำมีโอทีผมก็ทำตลอดไม่เคยบดเคยหยุดก็เพื่อเงินตัวเดียว การทำงานปีแรกเป็นไปอย่างราบรื่น…

           หลังเลิกงานวันหนึ่ง“เฮ้ยอ้อนมากินเหล้าด้วยกันก่อนซิวะทำแต่งานแล้วก็นอนไม่เบื่อหรือไงวะ”  “มันจะดีเหรอไม่เอาดีกว่า”  “มาๆยกแค่แก้วเดียวก็พอจะได้เลิกคิดถึงบ้านเสียที” ผมทนกับความรบเร้าของเพื่อนไม่ได้บวกกับความคิดถึงบ้านจึงร่วมวงดื่มกับเพื่อน(นั่นคือจุดหักเหของชีวิตผม) เพราะมีครั้งแรกก็ต้องมีครั้งสองตามมา พอเมาได้ที่ก็ออกไปเที่ยวร้านไทยกับเพื่อนต่อ ผมเริ่มติดเหล้าติดร้านไทยแต่ก่อนผมเหลือเงินไว้ใช้นิดหน่อย แต่เดี๋ยวนี้ผมเบิกออกมาใช้มากกว่าเดิม ผมเลิกคิดถึงบ้านเอาแต่กินเหล้าเที่ยวคาราโอเกะหนักๆเข้าเงินก็ไม่ได้ส่งกลับบ้าน พ่อแม่ถามทำไมช่วงนี้ไม่มีเงินส่งกลับบ้านเลยลูก ผมก็หาทางโกหกไปต่างๆนาๆและในที่สุดวันสิ้นสุดหยุดความซ่าส์ก็มาถึงผมยังจำวันนั้นได้ดีวันที่ 8 ธันวาคม51 ผมเมาเหล้าและชกต่อยกันที่ร้ายไทย ในที่สุดผมก็พลั้งมือฆ่าคนตาย

           ผมมองดูกุญแจมือที่ข้อมือของตัวเองด้วยความอาลัยมันหมดแล้วหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างแล้วภาพพ่อแม่ตอนมาส่งผมขึ้นเครื่องผุดขึ้นมาในความรู้สึก“ตั้งใจทำงานเก็บเงินนะลูกครบสัญญาจะได้กลับบ้านเรา”  “ไม่ต้องห่วงหรอกครับผมสัญญาว่าจะเก็บเงินส่งกลับบ้านเยอะๆ  “รักษาตัวด้วยนะลูก ภาพรอยยิ้มของพ่อแม่ที่รอความหวังจากลูกชายถึงวินาทีนั้นน้ำตาของผมไหลลงปานหยดน้ำฝน  “พ่อครับ แม่ครับผมผิดไปแล้ว”

           ผมเข้ามาอยู่เรือนจำก็ได้เขียน จ.ม. กลับบ้านบอกกับพ่อแม่ถึงเรื่องราวต่างๆขอโทษพวกท่าน แต่สิ่งที่ผมคาดไม่ถึงพ่อแม่ไม่โกรธและว่าผมเลยมีแต่ให้กำลังใจและรอวันที่ผมพ้นโทษ นี่แหล่ะหนาที่เขาว่าความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูก

           ผมจึงอยากใช้เรื่องราวชีวิตของผมเป็นอุทาหรณ์ให้แก่แรงงานต่างชาติทุกๆท่านที่สำคัญผู้ที่มัวเมากับอบายมุขต่างๆขอให้เลิกเสียเถอะครับขอให้หยุดคิดสักนิดว่าเรามาไต้หวันเพื่ออะไร อย่าลืมว่าเรามาหาเงินเพื่อสร้างอนาคตของเราให้คิดถึงคนที่รอความหวังจากเราไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ลูกเมีย อย่าให้เป็นอย่างผมเลยเพราะความหลงผิด เอาคำว่าคิดถึงบ้านบวกกับความเหงามาเป็นข้ออ้างในการดื่มเหล้าเข้าเทคมาคิดได้ก็สายเกินไปเสียแล้ว ผมจึงอยากให้ทุกท่านดูชีวิตของผมไว้เป็นตัวอย่าง ผมก็ใช่ว่าจะดีอะไรมากมายละอายใจด้วยซ้ำที่เขียนมาเตือนสติคนที่อยู่ข้างนอก แต่ผมก็ไม่อยากให้คนอื่นต้องมาเหมือนผม เพราะทุกท่านยังมีโอกาสกลับตัวกลับใจ ลำบากที่ไต้หวันแล้วกลับไปสบายที่บ้านของท่านดีกว่ามาสบายที่ไต้หวันแล้วกลับไปลำบากที่บ้านเลยครับ

            และผมก็ขอฝากข้อคิดอีกสักนิดหนึ่ง การที่เรามาทำงานต่างประเทศ เราต้องเคารพคนท้องถิ่นและวัฒนธรรมของเขาและสิ่งที่สำคัญต้องเคารพกฎหมายบ้านเมืองของเขาด้วยอย่างที่เขาว่า “เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม”

            สุดท้ายผมก็ขออวยพรให้แรงงานต่างชาติทุกๆท่านจงประสบความสำเร็จในชีวิต และใช้ชีวิตในการทำงานในไต้หวันอย่างมีความสุข ขอให้ทุกท่านโชคดีนะครับ

นายอรัญ โมดี
สิงหาคม 2553

 

ที่มา : สนร.ไทเป

 

 


537
TOP