Skip to main content

หน้าหลัก

มุมมองไต้หวัน! ผู้นำไต้หวันควรเปิดการเจรจาทางการเมืองกับจีนแผ่นดินใหญ่หรือไม่

 

มุมมองไต้หวัน! ผู้นำไต้หวันควรเปิดการเจรจาทางการเมืองกับจีนแผ่นดินใหญ่หรือไม่
 
ประธานาธิบดีหม่า อิงจิ่ว ผู้นำไต้หวันได้ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวเอพีเมื่อเร็ว ๆ นี้ และตอบคำถามเมื่อถูกถามว่า จะเจรจาการเมืองกับจีนแผ่นดินใหญ่เมื่อดำรงตำแหน่งผู้นำไต้หวันวาระที่ 2 หรือไม่ว่า หากความสัมพันธ์ทางด้านเศรษฐกิจระหว่างช่องแคบไต้หวันพัฒนาไปจนสุกงอมแล้ว ก็ไม่ปฏิเสธความเป็นไปได้ที่จะเจรจาประเด็นการเมืองกับจีน แต่ตอนนี้ยังไม่มีกำหนดเวลา ซึ่งสำนักข่าวเอพีนำไปรายงานว่า ประธานาธิบดีหม่าฯ จะเปิดเจรจาประเด็นการเมืองกับจีนแผ่นดินใหญ่ในช่วงที่ท่านดำรงตำแหน่งผู้นำไต้หวันวาระที่ 2 จนทำให้ประธานาธิบดีหม่าฯ แสดงความวิตกกังวลอย่างรุนแรง ไม่เพียงแต่เปิดแถลงข่าวด้วยตนเองเป็นการด่วนเพื่อชี้แจงเรื่องนี้เท่านั้น แต่ยังได้สั่งการให้สำนักงานสารนิเทศไต้หวันเรียกร้องให้สำนักข่าวเอพีแก้ไขข่าวดังกล่าวให้ถูกต้องด้วย
 
                                              
 
เหตุการณ์ดังกล่าวชี้ชัดว่า การพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างช่องแคบไต้หวันจะก้าวเข้าสู่ขั้นตอนของการเจรจาการเมืองระหว่างกันแล้วหรือยังนั้น เป็นที่สนใจของสังคมนานาชาติมากขึ้นทุกขณะ ความสัมพันธ์ระหว่างช่องแคบไต้หวันได้มีการปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากที่ประธานาธิบดีหม่า อิงจิ่ว ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำไต้หวันเป็นต้นมา นักท่องเที่ยวจีนแผ่นดินใหญ่ได้รับอนุญาตให้เดินทางมาท่องเที่ยวไต้หวันได้ และมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นตามลำดับ ช่องแคบไต้หวันมีการเปิดเส้นทางบินตรงระหว่างกัน และเมื่อเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา ได้จัดทำความตกลงกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจหรือ ECFA ส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างช่องแคบไต้หวันก้าวไปสู่ความสัมพันธ์ในระดับปกติทางด้านการค้าและเศรษฐกิจ ด้วยเหตุนี้ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะทำให้บุคคลในสังคมนานาชาติบางส่วนให้ความสนใจต่อประเด็นการเปิดการเจรจาทางการเมืองระหว่างช่องแคบไต้หวัน ซึ่งรวมถึงกลไกความเชื่อมั่นทางทหารระหว่างกัน ไปจนถึงความตกลงสันติภาพและช่องทางการเข้าร่วมกิจกรรมระหว่างประเทศของไต้หวัน
 
ความสนใจและการประเมินของสังคมนานาชาติเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับเหตุผล เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างช่องแคบไต้หวันพัฒนาต่อไปอย่างต่อเนื่อง ก็จะนำไปสู่การเจรจาประเด็นการเมืองระหว่างกัน มิเช่นนั้น ประเด็นการเมืองก็จะกลายเป็นอุปสรรคขัดขวางการพัฒนาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างช่องแคบไต้หวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หนึ่งใน 6 ข้อของหู จิ่นเทา ที่เสนอให้ช่องแคบไต้หวันเปิดการเจรจาและปรึกษาหารือในประเด็นการเมืองระหว่างกัน ซึ่งนายหู จิ่นเทา ประธานาธิบดีจีนแผ่นดินใหญ่ที่กำลังจะหมดวาระการดำรงตำแหน่งในเดือนตุลาคม 2555 หลังการประชุมสมัชชาผู้แทนพรรคสมัยที่ 18 ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ทำให้เริ่มรู้สึกถึงแรงกดดันในเรื่องนี้มากขึ้น ด้วยเหตุนี้ ฝ่ายต่างๆ จึงประเมินว่า ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่ผู้นำของช่องแคบไต้หวันจะพบปะกันเพื่อเจรจาประเด็นทางการเมืองคือช่วงหลังจากที่ประธานาธิบดีหม่าฯ ดำรงตำแหน่งผู้นำไต้หวันเป็นวาระที่ 2 และก่อนหน้าที่ประธานาธิบดีหู จิ่นเทา จะหมดวาระการดำรงตำแหน่งผู้นำจีนนั่นเอง
 
แม้จีนแผ่นดินใหญ่จะคาดหวังที่จะเปิดการเจรจาทางการเมืองระหว่างช่องแคบไต้หวันก็ตาม แต่ก็มิใช่ว่า ช่องแคบไต้หวันจะต้องเข้าสู่กระบวนการเจรจาทางการเมืองโดยทันที จำเป็นจะต้องคำนึงถึงการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างช่องแคบไต้หวัน และสถานการณ์ทางการเมือง สังคม และเศรษฐกิจในไต้หวันเองด้วย การเจรจาทางการเมืองระหว่างช่องแคบไต้หวันเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์โดยพื้นฐานในระดับประเทศ เกี่ยวข้องกับการกำหนดฐานะประเทศของสาธารณรัฐจีน ตลอดจนปัญหาฐานะทางการเมืองระหว่างช่องแคบไต้หวัน ซึ่งล้วนเป็นปัญหาสำคัญทั้งสิ้น หากภายในของไต้หวันยังไม่มีความรับรู้ร่วมกันในระดับสูงก็ยากที่จะแก้ปัญหานี้ได้
 
                                                 
  
หลังจากที่ช่องแคบไต้หวันแยกการปกครองออกจากกันในปี 2492 เป็นต้นมา จีนแผ่นดินใหญ่ยังคงไม่ยอมรับความเป็นจริงที่สาธารณรัฐจีนยังดำรงอยู่ ประกาศบนเวทีนานาชาติว่า สาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นตัวแทนที่ถูกต้องตามกฎหมายเพียงรัฐบาลเดียวของประเทศจีน ไต้หวันเป็นเพียงส่วนหนึ่งของจีน ในด้านการกำหนดฐานะของความสัมพันธ์ระหว่างช่องแคบไต้หวัน ยังคงยึดหลักการจีนเดียว และไม่ได้กล่าวถึงการยอมรับอำนาจอธิปไตยที่เสมอภาคกันแต่อย่างใด และตามข้อเสนอของจีนในปัจจุบันก็คือ การเจรจาประเด็นทางการเมืองระหว่างกันจะต้องตั้งอยู่บนหลักการจีนเดียวเท่านั้น ซึ่งส่งผลให้ภายในของไต้หวันไม่อาจหาข้อสรุปร่วมกันเกี่ยวกับจีนเดียวได้ รัฐบาลประธานาธิบดีหม่า อิงจิ่ว ก็ยากที่จะเปิดการเจรจาการเมืองกับจีนแผ่นดินใหญ่ได้
 
ด้วยเหตุนี้ การพัฒนาในอนาคตของความสัมพันธ์ระหว่างช่องแคบไต้หวัน จึงยังคงตั้งอยู่บนหลักการ “เศรษฐกิจก่อน การเมืองทีหลัง” ขยายการติดต่อแลกเปลี่ยนทางการค้าและเศรษฐกิจและวัฒนธรรมต่อไปอย่างต่อเนื่อง ให้ประชาชนบนช่องแคบไต้หวันมีความเข้าใจและอำนวยประโยชน์ซึ่งกันและกันให้มากขึ้น เพื่อสร้างเงื่อนไขที่เป็นประโยชน์ต่อการเจรจาทางการเมืองในอนาคตระหว่างกัน การประกาศหลักการของประธานาธิบดีหม่าฯ จึงไม่มีอะไรคลาดเคลื่อน การเจรจาทางการเมืองระหว่างช่องแคบไต้หวันไม่มีการกำหนดเวลา แต่ขึ้นอยู่กับสภาพการติดต่อแลกเปลี่ยนระหว่างช่องแคบไต้หวันเป็นสำคัญ รายงานข่าวของสำนักข่าวเอพี จึงเป็นเพียงแค่ “บทแทรก” เท่านั้น

534
TOP